Bloody Party - คดีฆาตกรรมราตรีสีชาด
รุ่งเช้าในฤดูใบไม้ร่วงเดือนพฤศจิกายน ได้มีการรายงานว่าพบศพผู้เสียชีวิตจำนวน 7 ราย และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวน 1 ราย รวมทั้งสิ้น 8 ราย ณ บ้านพักตากอากาศกลางหุบเขา คดีดังกล่าวกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ เนื่องจากพยานแวดล้อมระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน และมีหลายสาเหตุการตาย ไม่มีใครเข้าออกในบ้านหลังนั้นตลอดทั้งคืนที่ทั้ง 8 รายพักอยู่ที่นี่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนในเขตพื้นที่ ... กำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ไขคดีนี้
****
ศพที่ 7 : ซากาโมโตะ ซากุระ
‘น้องสาวของคุณเสียชีวิต…’
เสียงจากปลายสายยังคงพูดต่อไปว่าน้องสาวของฉันเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร แต่ฉันไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว สติฉันหลุดไปตั้งแต่ได้ยินคำว่าเสียชีวิต ฉันปล่อยโทรศัพท์พร้อมกับร่างกายของตนร่วงลงสู่พื้นไม้เบื้องล่าง ลมหายใจฉันเริ่มติดขัด นั่นอาจเป็นเพราะหัวใจของฉันเริ่มเต้นรัวด้วยความโกรธและเสียใจ
...หรือเปล่า
ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอะไรกันแน่ ความรู้สึกและความทรงจำมากมายไหลเข้ามาในห้วงความคิดของฉัน ฉันทิ้งน้องสาวให้อยู่คนเดียวมานานมาก มากจนบางครั้งฉันลืมไปว่า ‘ฉันและอิจิโกะ’ คือครอบครัวเดียวกัน
หลังจากพ่อและแม่ของเราเสียชีวิตไปตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ฉันและอิจิโกะก็กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องสู้ชีวิต เนื่องจากเงินประกันที่พ่อและแม่สมัครไว้มันช่างน้อยนิดจนไม่พอยาไส้ ฉันทำงานหนักมากเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวอย่างอิจิโกะ แต่สุดท้ายฉันก็พบว่า ต่อให้ฉันทำงานหนักแค่ไหนฉันก็ไม่อาจก้าวข้ามบุรุษเพศที่ครองตำแหน่งระดับหัวหน้าไปถึงผู้บริหาร
ยากเหลือเกินที่เพศหญิงจะก้าวไปเทียบเท่าผู้ชาย...
พวกผู้ชายมักคิดว่าตัวเองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง พวกเขาคิดว่าสิ่งต่างๆ ล้วนควบคุมให้อยู่ใต้คำสั่งได้ ถ้าคุณไม่เชื่อลองไปดูสังคมแม่บ้านญี่ปุ่นดูสิ ผู้หญิงต้องตื่นเช้ามาดูแลบ้าน เตรียมอาหารซึ่งอาหารแต่ละมื้อก็ต้องแยกเป็นชุดๆ โดยแต่ละชุดก็ไม่เหมือนกัน เพราะสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนก็มีรสนิยมการกินแตกต่างกันออกไป
ดูเหมือนจะใส่ใจนะ แต่อีกมุมก็เหมือนทาสเลย
ฉันเดินทางออกจากญี่ปุ่นเพื่อตามหาความฝันและอนาคต อิจิโกะคัดค้านการเดินทางครั้งนี้อย่างถึงที่สุด โดยเธอให้เหตุผลว่า ‘ถ้าพี่ไปฉันจะอยู่กับใคร’ มันเป็นเหตุผลที่อาจจะฟังดูไม่ขึ้นสักเท่าไร แต่อย่าลืมว่าเราสองคนไม่ได้มีเงินหรือทุนทรัพย์เยอะอะไรขนาดนั้น เรามีทุนทรัพย์สำหรับการเดินทางและการเริ่มต้นใหม่สำหรับคนคนเดียวเท่านั้น
ซึ่งคนๆ นั้นต้องเป็น ‘ฉัน’
ต่อให้อิจิโกะจะห้ามฉันแค่ไหนก็ตาม ฉันก็ไม่สนใจ คืนหนึ่งฉันแอบเก็บของเท่าที่จำเป็นและออกจากบ้านก่อนฟ้าสาง ฉันเขียนโน้ตแผ่นเล็กๆ แปะไว้ที่ตู้เย็นว่า ‘พี่ไปแล้วนะ แล้วสักวันพี่จะกลับมาเมื่อพี่ประสบความสำเร็จ’ มันง่ายๆ แค่นั้นเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอิจิโกะจะแสดงสีหน้าอย่างไรตอนเห็นโน้ตแผ่นนั้น มันเห็นแก่ตัวใช่ไหมล่ะ - ฉันยอมรับ แต่เพื่อความฝันและอนาคตที่ดีกว่ามันก็ต้องผ่านช่วงเวลายากลำบากและการเสียสละกันทั้งนั้น
ฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเดินทางถึงดินแดนในฝันของฉันอย่างฝรั่งเศส ฉันตรากตรำทำงานไม่ต่างอะไรจากตอนอยู่ญี่ปุ่น เผลอๆ อาจมากกว่าด้วยซ้ำ โดยที่ฉันทำไปทั้งหมดก็เพราะคำสัญญาที่ฉันให้ไว้กับอิจิโกะก่อนจะจากมา ‘สักวันพี่จะกลับมาเมื่อพี่ประสบความสำเร็จ’
คำสัญญานั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉันตลอดเวลา ฉันไม่เคยลืมสัญญานั้นเลย แต่ฉันก็ไม่เคยบอกให้อิจิโกะรับรู้ เกือบสิบปีแล้วที่ฉันทิ้งให้อิจิโกะอยู่คนเดียว ไม่แม้แต่ส่งข่าวกลับไปให้อิจิโกะได้รับรู้ แต่ถึงกระนั้นทุกๆ คริสต์มาสฉันก็ส่งโปสต์การ์ดและของขวัญให้เธอตลอด แต่สิ่งที่เธออาจอยากได้ที่สุดคือการที่ฉันกลับไปเป่าเค้กกับเธอ
ฉันรู้ว่าเธอรักและอยากให้ฉันกลับไปหามากแค่ไหน แต่ด้วยภาระงานต่างๆ ทำให้ฉันกลับไปไม่ได้ แต่เมื่อฉันพร้อมที่จะกลับไปเธอกลับไม่อยู่แล้ว…
ฉันเหม่อมองห้องพักขนาดกลางใจกลางปารีสอย่างหมดอาลัยตายอยาก ฉันเตรียมทุกอย่างให้เธอแล้ว ทั้งบ้านที่พวกเราใฝ่ฝันและอนาคตอันสดใส ฉันอยากให้อิจิโกะได้เห็นห้องนอนสีครีมและผ้าปูที่นอนลายดอกเดซีจัง ฉันตั้งใจเลือกมากๆ เลยนะ แต่เธอคงไม่ได้นอนมันแล้วล่ะ
พี่บอกแล้วว่าถ้าพี่ประสบความสำเร็จพี่จะกลับไปหาเธอ ทำไมเธอไม่รอพี่ล่ะ อิจิโกะ
นับจากวันนั้นพวกตำรวจก็ไม่ได้โทรมาแจ้งข่าวอะไรเกี่ยวกับการเสียชีวิตของอิจิโกะอีกเลย ฉันพยายามโทรกลับไป แต่ก็ได้รับคำตอบเดิมๆ ว่าอิจิโกะเสียชีวิตด้วยสาเหตุ ‘ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกิน 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์’
ฉันพยายามแย้งว่าน้องสาวของฉันเธอไม่ดื่มเหล้า ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะมีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด ฉันปักใจเชื่อว่าอิจิโกะต้องโดนใครสักคนมอมเหล้าแน่ๆ แต่พวกตำรวจเลวๆ พวกนั้นก็ตอบฉันกลับมาว่า
‘คุณไม่ได้เจอเธอนานแล้วนี่ เธออาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้’
มันเป็นประโชคที่ฉันเถียงไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันได้แต่ตอบรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มือของฉันกลับกำแน่นจนเล็บจึกลงไปในเนื้อ ถึงแม้ฉันจะไม่ได้เจอเธอมานาน แต่ฉันก็เป็นพี่สาวและเป็นครอบครัวคนเดียวของเธอ แล้วทำไมพี่สาวคนนี้จะจำนิสัยน้องสาวไม่ได้ล่ะ
ฉันพยายามสะสางภาระงานให้เสร็จ และขอหัวหน้าลาหยุดงานประมาณหนึ่งเดือนเพื่อไปจัดการธุระเรื่องอิจิโกะ แต่ภาระงานมันก็มากเกินกว่าจะสะสางได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน กว่าฉันจะได้กลับมาญี่ปุ่นก็เกือบเดือน มันนานมากจนตำรวจดำเนินการเรื่องคดีของอิจิโกะจนเสร็จสิ้น ซึ่งพวกตำรวจเลวพวกนั้นก็ถือวิสาสะสรุปคดีของอิจิโกะว่าเป็นการฆ่าตัวตายโดยไม่เจตนา - แน่นอนว่าฉันโกรธจนเลือดขึ้นหน้า!
ทันทีที่ถึงญี่ปุ่นฉันก็พุ่งตรงไปที่สถานีตำรวจประจำกรุงโตเกียว ฉันโวยวายดังลั่นสถานีว่าคดีน้องสาวของฉันยังไม่สิ้นสุด พวกคุณเขียนสำนวนคดีไม่ถูกต้อง ซึ่งแน่นอนว่าฉันโดนหิ้วปีกออกมาจากสถานี - ไอ้พวกตำรวจสารเลวเอ๊ย!
แต่ถึงกระนั้นฉันก็ได้ข้อมูลน่าสนใจมาหนึ่งอย่างว่านายตำรวจที่เขียนสรุปคดีน้องสาวของฉันคือ ‘เซย์กิ เคน’ และฉันจะไม่มีวันให้อภัยผู้ชายคนนี้
ฉันเดินทางมายังอะพาร์ตเมนต์ของอิจิโกะที่อยู่ในเขตโตเกียว หลังจากฉันไปฝรั่งเศส อิจิโกะก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ตามคำเชิญชวนของแฟนหนุ่มของเธอ ฉันรับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอเพราะเธอมักส่งอีเมลมาบอกเรื่องราวต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ขนาดแค่เธอ ท้องผูกเธอยังบอกฉันเลย แต่ฉันก็ทำเพียงรับรู้และตอบกลับไปว่า
‘ดูแลตัวเองดีๆ พี่ยุ่งมาก ไว้ว่างๆ เดี๋ยวจะโทรไป’
อาจเป็นเพราะพวกเราอยู่กันคนละซีกโลก อาจเป็นเพราะความแตกต่างของเวลา อาจเป็นเพราะฉันยุ่งจริงๆ และไม่ต้องการให้เธอเป็นห่วง หรืออาจเป็นเพราะอิจิโกะเป็นพวกนอนเร็ว แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใด สุดท้ายพวกเราก็แทบไม่เคยได้คุยกันเลย
ฉันเอื้อมมือไปใส่รหัสที่ลูกบิดประตู แต่ก่อนที่ฉันจะเปิดมันเข้าไปความรู้สึกผิดก็ได้วกกลับมาหาฉันอีกครั้ง ภายในห้องของเธอจะเป็นอย่างไรนะ สะอาดหรือเปล่า และเธอจะดูแลตัวเองอย่างดีตามที่ฉันบอกหรือเปล่า
ฉันยกมือขึ้นมาบังใบหน้าที่อาจเปรอะด้วยเครื่องสำอางเพราะหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทำไมเธอถึงจากฉันไปเร็วจัง… ถ้าฉันไม่ตัดสินใจไปฝรั่งเศสวันนี้เธอจะยังมีชีวิตอยู่ไหม
“อิจิโกะ” เสียงใสของใครบางคนเรียกให้ฉันหันไปสบตา
เธอคือเด็กสาวตัวสูงโปร่ง รูปร่างผอม และมีผมตรงยาว ดวงตากลมของเธอยังคงจดจ้องฉันอยู่เช่นนั้น จนกระทั่ง...
“ขอโทษค่ะ คุณดูคล้ายเจ้าของห้องนี้มาก” เธอพูดพร้อมโค้งให้ฉันอย่างนอบน้อม
“เธอรู้จักอิจิโกะเหรอ” ฉันปาดน้ำตาข้างแก้มออกอย่างลวกๆ ก่อนจะพยายามแสร้งยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ค่ะ” เธอตอบพร้อมควานหาอะไรบางอย่างจากกระเป๋าสะพายข้างตัว
“ฉันเป็นเพื่อนบ้านของอิจิโกะค่ะ เรา….” เธอพูดพร้อมส่งกระดาษทิชชูให้ฉันจำนวนหนึ่ง “ว่าแต่คุณคือ...”
“ซากาโมโตะ ซากุระจ้ะ” ฉันรับกระดาษทิชชู่มาแล้วซับลงบนขอบตาเบาๆ “ขอบคุณที่ดูแลเเละเป็นเพื่อนกับอิจิโกะนะจ๊ะ” ฉันเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ
ฉันดีใจเหลือเกินที่อย่างน้อยอิจิโกะก็มีเพื่อน มีคนคอยดูแลตอนที่ฉันไม่อยู่
“คุณเป็นใครทำไมนามสกุลเหมือนอิจิโกะเลย” เธอเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“อ้อ ฉันเป็นพี่สาวของเธอน่ะ แต่ฉันย้ายไปอยู่ต่างประเทศตั้งนานแล้ว” ฉันตอบพร้อมยกยิ้มให้เธออีกครั้ง
แววตาของเธอดูสั่นไหวเล็กน้อยราวกับเธอกำลังคิดอะไรบ้างอย่างอยู่ แต่เพียงเสี้ยววินาทีเธอก็กลับมามีใบหน้านิ่งเรียบดังเดิม
“แล้วเธอชื่ออะไรเหรอ” ฉันพยายามหาเรื่องคุยเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดที่ก่อตัวขึ้น ฉันไม่แน่ใจว่าฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ฉันว่าเธอดูไม่ชอบฉันหรือดูมีอคติต่อฉัน
“อิวาซากิ สุมิเระ” ฉันว่าเธอมีน้ำเสียงที่ดูกระโชกโฮกฮากมากขึ้น เธอไม่พอใจฉันจริงๆ สินะ แต่มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเราไม่เคยรู้จักหรือเจอกันด้วยซ้ำ
“อา ชื่อน่ารักมากเลย หวังว่าจะได้เจอกันใหม่นะจ๊ะ” ฉันรีบตัดบทสนทนาก่อนจะหายตัวเข้าไปในห้องของอิจิโกะ แต่จู่ๆ เด็กสาวคนนั้นก็ได้จับที่ขอบประตู ฉันคิดว่าเธอพยายามจะแทรกตัวเข้ามาในห้องของอิจิโกะ ฉันจึงดึงประตูให้ปิดลงโดยไม่ทันสังเกตว่ามือของเธอยังคงจับบานประตูไว้ เธอโดนประตูหนีบมือเข้าอย่างจัง ซึ่งนั่นเป็นความผิดของฉัน
“โอ๊ย!” เธอผละมือออกจากขอบประตูก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นจับมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บ
ฉันตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ฉันพุ่งตัวเข้าไปหาเธอพร้อมถามไถ่อย่างเป็นห่วง “เธอเป็นอะไรไหม”
เธอส่ายหน้าพร้อมยกมือขึ้นปรามไม่ให้ฉันเข้าไปใกล้ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องข้างๆ เธอปิดประตูดังปัง ซึ่งฉันเดาได้ไม่ยากเลยว่าเธอคงไม่พอใจฉันเอามากๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้อยากสนิทกับใครอยู่แล้ว ฉันกลับมาญี่ปุ่นเพื่อจัดการธุระเรื่องอิจิโกะเท่านั้น
แต่เอาเข้าจริงๆ ตอนที่เด็กสาวคนนั้นยื่นมือจับที่ขอบประตู ฉันเผลอไปสบตากับเธอ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเธอมีบางอย่างที่ต้องการจะบอกฉัน…
ฉันสะบัดไล่ความคิดต่างๆ ออกไปจากหัว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของอิจิโกะ ห้องของเธอยังคงเรียบง่ายและมีเพียงของใช้จำเป็นก็เท่านั้น ฉันสำรวจห้องของเธอจนไปสะดุดเข้ากับกระถางต้นไม้ที่ตั้งอยู่นอกระเบียง ภายในกระถางมีซากต้นไม้ที่แห้งเหี่ยว ปรายตาดูก็รู้ว่าไม่มีใครมาดูแลมันเลย ช่างน่าสงสารจริงๆ นะเจ้าต้นไม้
ฉันเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ซากต้นไม้คือเครื่องตอกย้ำว่าเจ้าของห้องนี้ไม่อยู่แล้ว… ไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว ฉันพยายามสกัดกั้นน้ำตาไว้แล้วนะ แต่มันก็เกินจะทนไหวจริงๆ
ฉันเดินกลับมาในห้องของอิจิโกะอีกครั้งก่อนทรุดตัวนั่งลงบนพื้นเบื้องล่างอย่างอ่อนแรง และแล้วฉันก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง มันหนักขึ้น หนักขึ้น จนกระทั่งฉันสลบไปตอนไหนฉันเองก็ไม่อาจทราบ
แต่พอมารู้ตัวอีกทีมันกลายเป็นรุ่งเช้าของอีกวัน ฉันสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพร้อมกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงยามเช้า ฉันบิดขี้เกียจเล็กน้อย จังหวะที่ฉันบิดตัว ฉันก็ต้องผงะเมื่อฉันเห็นเด็กสาวหน้านิ่งคนนั้นกำลังนั่งจ้องฉันอยู่ที่มุมห้อง
“ธะ เธอ” ดวงตาของฉันวูบไหวด้วยความหวาดกลัว ฉันยังจำสายตาดุดันของเธอตอนนั้นได้อยู่เลย
“ฉันได้ยินเสียงของตก ฉันเลยคิดว่าคุณอาจต้องการความช่วยเหลือ ฉันเลยถือวิสาสะเข้ามา…” เธอนิ่งไปชั่วครู่ก่อนเหล่ตามองไปที่กะละมังใบเล็กที่มีน้ำอยู่เพียงครึ่งและมีผ้าขนหนูลอยอยู่ในนั้น
“คุณเป็นลมน่ะค่ะ” เธอเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่นิ่งเรียบ “แต่ตื่นแล้วก็ดี ฉันขอตัว” เธอพูดพร้อมเดินไปหยิบกะละมังและหายเข้าไปในห้องน้ำ
“เธอเข้ามาได้ยังไง” ฉันเอ่ยถามทันทีที่เธอเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ก่อนที่คุณจะมา ฉันสนิทกับอิจิโกะพอสมควรฉันเลยรู้รหัสห้องเธอค่ะ” เธอตอบพลางเดินไปที่ประตูและจัดแจงสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่าของเธอ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ลูกบิดประตู เธอตั้งท่าจะเดินจากไปต่อดูเหมือนคำถามของฉันจะรั้งเธอไว้ได้
“เธอสนิทกับอิจิโกะขนาดนั้นเลยหรอ แล้วเธอรู้ไหมว่าเธอตายได้ยังไง” ฉันเอ่ยถาม
เธอหันกลับมาประจันหน้ากับฉันก่อจะเอ่ยถาม “คุณเป็นพี่ของอิจิโกะนะคะ คุณไม่รู้เหรอ” ดูเหมือนว่าเธอจะกระแทกเสียงที่คำสุดท้ายเล็กน้อยนะ
“ฉันรู้ว่าอิจิโกะเกิดภาวะช็อกจากแอลกอฮอลล์ แต่…” ฉันกัดริมฝีปากเล็กน้อย เพราะลังเลว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่
“แต่อะไร”
“น้องฉัน เธอไม่ดื่ม” และแล้วฉันก็พูดออกไป
สุมิเระยกยิ้มมุมปากแก่อนเดินเข้ามาประชิดตัวฉันและเริ่มเล่าเรื่องราวที่เธอรู้ให้ฉันฟัง ฉันตั้งใจฟังเธอทุกประโยค และเมื่อฉันฟังเธอจบ นั่นก็เป็นเครื่องยืนยันว่าแท้จริงแล้ว ‘อิจิโกะถูกฆาตกรรมโดยแฟนหนุ่มของเธอเอง’
ไอ้สารเลวนั่นมันมอมเหล้าเธอ จนเธอช็อกเนื่องจากมีแอลกอฮอลล์ในเลือดมากเกินไป ฉันกำมือเข้าหากันแน่นจนปลายเล็บจิกลงไปบนเนื้อมือ ฉันพยายามสกัดกั้นน้ำตาและความโกรธเอาไว้
“คนที่ชื่อชินตะเขาอยู่ที่ไหน” ฉันเอ่ยถามสุมิเระที่เดินไปอยู่หยุดหน้าประตู เธอหันมายกยิ้มให้ฉันก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือกกว่าทุกครั้ง
“คนชั่วๆ อย่างมันคงตายไปแล้วมั้ง” เธอพูดไว้แค่นั้นก่อนเดินออกไปจากห้อง
หลังจากนั้นเป็นต้นมาฉันพยายามสืบหาข้อมูลของชินตะ แฟนหนุ่มของอิจิโกะจนไปพบว่าหมอนั่นถูกฆาตกรรมหลังจากอิจิโกะเสียชีวิตได้ไม่นาน และทุกวันนี้ตำรวจก็ยังจับคนร้ายไม่ได้ ฉันแอบหัวเราะอย่างสะใจกับเวรกรรมที่ไวราวกับติดจรวด - สมน้ำหน้า ไอ้เลว!
คนที่ทำร้ายอิจิโกะตายไปชดใช้กรรมในนรกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นดวงวิญญาณของเธอก็ยังไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่ดี เพราะนายตำรวจคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ นายตำรวจที่บังอาจเขียนสำนวนว่าน้องของฉันเสียชีวิตเพราะดื่มแอลกอฮอลล์มากเกินไป นายตำรวจที่บังอาจเมินคำให้การของฉัน นายตำรวจที่ทำให้ดวงวิญญาณของน้องฉันไม่ไปสู่สุคติ… ‘เซย์กิ เคน’
ฉันได้จ้างนักสืบเอกชนเพื่อไปสะกดรอยตามไอ้ตำรวจเวรนั่น จนได้รู้ว่าหมอนั่นคือตำรวจยศต๊อกต๋อย เป็นโรคหอบหืด แต่ทกำลังทำทุกวิถีเพื่อให้ได้เลื่อนยศ ทะเยอทะยานได้น่าสมเพชจริงๆ แค่คดีง่ายๆ ยังไขไม่ได้นับประสาอะไรกับคดีอื่นๆ ตำรวจแบบนี้ไม่ควรมีประดับสถาบันตำรวจแห่งชาติหรอก เขาควรตายไปซะ
ข้อมูลล่าสุดที่ฉันได้รับมาจากนักสืบเอกชนคือ อาทิตย์หน้าเคนจะไปสืบคดีการค้าของเถื่อนที่จังหวัดคุมาโมโตะ เขตคิวซู ดังนั้นฉันจึงใช้โอกาสนี้ปลอมตัวเข้าไปเป็นสมาชิกในกลุ่มขายของเก่าลับที่มีสมาชิกเพียงหยิบมือซึ่งเป็นผู้จัดงานนี้ ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ฉันพยายามคุยภาษาประหลาดๆ ที่เกี่ยวข้องกับของเก่ากับสมาชิกภายในกลุ่ม แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะสมาชิกภายในกลุ่มต่างดูเหมือนพวก…
ทรงอิทธิพล
ของที่นำมาประมูลในกลุ่มล้วนมีราคาแพงระยับ ชาวบ้านตาสีตาสาคงได้แต่มองตาปริบๆ เพราะคงไม่อาจเอื้อม แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของฉัน เพราะสมัยที่ฉันอยู่ฝรั่งเศส ฉันรับทำงานหลายอย่างกับหลายองค์กรซึ่งมันมากพอที่จะเดาได้ว่าพวกชนชั้นสูงนั้นมีลักษณะนิสัยอย่างไร
หยิ่งผยอง จองหอง บ้าอำนาจ คุณสมบัติเหล่านี้พวกชนชั้นนำทั่วโลกก็มีเหมือนกันทั้งหมด… น่าตลกดี
“อาทิตย์หน้าเธอว่างไหม สุมิเระ” ฉันหันไปถามเด็กสาวที่กำลังช่วยฉันเก็บของในห้องของอิจิโกะลงในลังกระดาษใบใหญ่
“ทำไมหรือคะ” เธอตอบฉันด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น เด็กแข็งกระด้างคนนั้นหายไปแล้ว
หลังจากผ่านมาสองสัปดาห์พวกเราก็สนิทสนมกันมากขึ้น ฉันวอนให้เธอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอิจิโกะระหว่างที่ฉันไม่อยู่ สุมิเระตั้งใจเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เธอรู้ให้ฉันฟัง แววตาเธอเป็นประกายและดูอ่อนโยนมากยามพูดถึงอิจิโกะ เธอคงรักน้องสาวของฉันมากจริงๆ ฉันดีใจเหลือเกินที่อิจิโกะมีสุมิเระอยู่ข้างๆ หัวใจของเธอคงแตกสลายไม่ต่างอะไรกับฉันตอนที่รู้ว่าอิจิโกะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
“ฉันจะชวนเธอไปงานประมูลของเก่า” ฉันตอบพร้อมใช้สกอตช์เทปปิดปากกล่องกระดาษที่อยู่ตรงหน้า
“คุณสนใจของเก่าด้วยหรอคะ” เธอชะงักมือพร้อมเงยหน้าขึ้นมองฉันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“แน่นอนสิ” ฉันพยักหน้าและแสร้งทำหน้าตาปกติ แต่ภายในใจฉันกลับสั่นไหวกลัวเธอจะจับไต๋ฉันได้ว่าฉันโกหก “แต่ฉันไม่ได้กลับมาญี่ปุ่นนานแล้ว ฉันเลยอยากได้เพื่อนนำทางสักคนน่ะ เธอจะช่วยฉันได้ไหม”
เด็กสาวนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “ได้ค่ะ ฉันว่างพอดี”
“ดีเลยงั้นเตรียมตัวให้พร้อมนะ” ฉันยกยิ้มก่อนจะปรายตามองขวดไวน์สีดำที่ตั้งอยู่ในครัว ถึงเวลาแล้วสินะที่ตำรวจเลวต้องหายไปจากโลก
และแล้ววันที่ฉันเฝ้ารอมาตลอดสัปดาห์ก็มาถึง ฉันลงมารอสุมิเระที่หน้าอะพาร์ตเมนต์ เด็กสาวเดินลงมาพร้อมกับเสื้อเชิ้ตธรรมดา กางเกงยีนสีฟ้า และรองเท้าผ้าใบคู่เก่าของเธอ สุมิเระชะงักไปชั่วครู่พร้อมไล่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า
ชุดเกาะอกสีดำยาวปิดเข่า แต่ผ่าข้างมาถึงโคนขาอ่อน เสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวสะอาดตา พร้อมด้วยสร้อยมุกเม็ดงามประกายแสง... การแต่งกายของฉันคงดูอลังการมากเกินไปในสายตาของเธอ แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจในสายตาที่เธอมองฉันอย่างแปลกประหลาดเท่าไรนัก ฉันต้องการสวยที่สุดในวันนี้
วันที่ฉันจะได้แก้แค้นและทวงคืนความยุติธรรมให้อิจิโกะ
“ขึ้นรถเถอะ” ฉันพูดก่อนจะเปิดประตูรถและเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ
สุมิเระเดินมานั่งข้างฉันอย่างว่าง่าย และรถยนต์คันหรูที่ฉันเช่ามาก็ได้มุ่งหน้าสู่สถานที่นัดหมายของเจ้าของงานซึ่งนั่นก็คือจุดพักรถบริเวณตีนเขาที่จะมีรถรับ-ส่งของเจ้าของงานจอดรอยู่ แต่ก่อนที่ฉันจะลงจากรถยนต์ที่ฉันเช่ามาสุมิเระก็ได้ยื่นกล่องของขวัญกล่องเล็กๆ ให้ฉัน ฉันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเอ่ยถาม
“ให้ฉันเหรอ”
สุมิเระพยักหน้ารับ “อีกสองวันคุณก็จะกลับฝรั่งเศสแล้วใช่ไหมคะ ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากฉันละกันนะคะ”
ฉันรับมันมาก่อนจะเปิดออกดูมันคือลิปสติกแท่งสวยที่ปรายตามองก็รู้ว่าเป็นสินค้าทำมือที่เธอตั้งใจทำให้ฉัน “สวยมากเลย ขอบคุณนะสุมิเระ” ฉันยิ้มออกมาอย่างจริงใจ
“ขอบคุณที่ทำให้ฉันหายเศร้าเรื่องอิจิโกะนะคะ” เธอเอ่ยพร้อมเผยรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า
ฉันพยักหน้ารับก่อนจะหย่อนลิปสติกแท่งนั้นลงในกระเป๋าถือสีขาวที่ฉันพกติดตัว “ฉันจะใช้มันอย่างดีเลย”
รถยนต์ของเจ้าของงานแล่นมาจอดในบ้านพักตากอากาศสไตล์ยุโรป บ้านหลังนี้ใหญ่จนฉันเผลออ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ต้องรวยและทรงอิทธิพลขนาดไหน
ฉันและสุมิเระเดินเข้ามาในบ้านหลังนั้น ภายนอกว่าสวยงามแล้ว ภายในบ้านก็ตกแต่งได้อย่างน่าประทับใจและหรูหราไม่ต่างกัน โคมไฟแชนเดอเรียสะท้อนแสงสว่างไสวไปทั่วอาณาบริเวณจนฉันต้องหยีตาลงน้อยยามจ้องมองไปที่มัน
“สวัสดีครับ” บริกรหนุ่มเดินเข้ามาทักทายฉันกับสุมิเระ ก่อนจะเดินนำพวกเรามาที่ห้องอาหารสุดหรูที่มีโต๊ะตัวยาวตั้งอยู่กลางห้อง เครื่องเงินต่างๆ บนโต๊ะอาหารถูกขัดจนเงาวับจนแทบใช้แทนกระจกได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีแจกันสีทองที่ใส่ดอกกุหลาบสีขาวสลับสีชมพู เสริมบรรยากาศห้องให้ดูนุ่มนวลขึ้น
“อันนี้ฉันนำมาเป็นของกำนัลค่ะ” ฉันยื่นไวน์ขวดสีดำที่ฉันสั่งตรงมาจากฝรั่งเศสให้บริกรที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาพยักหน้ารับอย่างสุภาพก่อนจะรับไวน์ขวดนั้นไปวางร่วมกับไวน์ขวดอื่นๆ ในบาร์เครื่องดื่ม
งานประมูลถูกดำเนินไปย่างเรียบง่ายพร้อมกับอาหารที่ลำเลียงมาเสิร์ฟอย่างไม่ขาดสาย ฉันกวาดสายตามองผู้เข้าร่วมงานก่อนจะยกยิ้มออกมาอย่างนึกสมเพช พวกคนรวยๆ มักใช้เงินอย่างไร้สาระเสมอเลย แต่ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้ต้องการประมูลหรือเชยชมของเก่าอะไรพวกนั้นหรอก แต่จุดประสงค์ของฉันคือชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงสุดขอบโต๊ะฝั่งซ้ายมือต่างหาก
เซย์กิ เคน นายตำรวจชั่วคนนั้นไงที่ทำให้น้องสาวของฉันต้องมีตราบาปแม้ตัวเธอจะจากโลกนี้ไปแล้ว ใครๆ ก็ต่างบอกว่าอิจิโกะเสียชีวิตเพราะดื่มแอลกอฮอลล์มากเกิน ผู้คนมากมายตราหน้าน้องสาวของฉันว่าเธอเป็นพวกขี้เมาและไม่รู้จักประมาณตัวเอง เฮงซวย เฮงซวยทั้งหมด
มีเพียงฉันและสุมิเระเท่านั้นที่รู้ว่ามันไม่จริง!
“สุมิเระ ไหวไหมหน้าตาเธอดูไม่ค่อยดี” ฉันเอ่ยถามสุมิเระที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ฉันแอบสังเกตเธอมาสักพัก ผิวที่ขาวซีดเป็นทุนเดิมทำให้ฉันสังเกตอาการที่เกิดขึ้นกับเธอได้ไม่ยากนัก ฉันคิดว่าเธออาจไป
“ฉันน่าจะเพลียกับการเดินทางน่ะค่ะ ถ้าหากไม่ว่าอะไรฉันจะขอไปพักก่อนนะคะ” เธอพูดก่อนจะลุกขึ้นและเดินจากไป
“ไปพักเถอะจ้ะ …เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการต่อเอง” ฉันพยักหน้ารับ
ทันทีที่สุมิเระจากไปฉันก็กลับมาจ้องใบหน้าเรียบนิ่งของตำรวจหนุ่มคนนั้น และดูเหมือนเขาจะรู้ตัวด้วยนะ ฉันยกยิ้มก่อนจะเดินนวยนาดไปหาเขาพร้อมแก้วไวน์สองแก้วในมือ
“ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ” ฉันพูดพร้อมโปรยยิ้มและส่งสายตายั่วยวน
“ทำไมถึงชวนผม” เขาดูตกใจไม่น้อย
ฉันยกยิ้มมุมปากก่อนจะวางแก้วไวน์แก้วหนึ่งลงตรงหน้าเขา
“คนที่นี่มีแต่เด็กๆ คุณไม่คิดว่าพวกเขาคุยกันคนละภาษากับเราเหรอ” เมื่อฉันพูดจบ ฉันก็ยกแก้วไวน์ในมือขึ้นจิบ ดูเหมือนเขาจะเห็นด้วยไม่น้อย ดังนั้นพวกเราจึงกลายมาเป็นคู่สนทนาที่คุยกันได้อย่างสนุกสนาน พวกเราคุยกันนานมากจนผู้ร่วมงานเริ่มทยอยออกจากห้องจัดเลี้ยงไป และเหลือฉันกับเซย์กิ เคนอยู่ตามลำพังสองต่อสอง
ยามไวน์เข้าปากสติก็เริ่มพร่าเลือน เขาพล่ามเรื่องงานที่น่าภูมิใจของตนไม่หยุดหย่อน ฉันได้แต่รับฟังและยกยิ้ม แต่ภายในใจกลับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เขาลืมเรื่องของอิจิโกะไปจนสิ้น นี่คิดสิ่งที่ทำให้โกรธจนอยากหยิบมีดหั่นเนื้อบนโต๊ะมาปาดคอเขาให้สิ้นซาก แต่…
มันคงไม่สาสมกับสิ่งที่เขาทำไว้เท่าไร ฉันอยากเห็นเขาดิ้นทุรนทุรายและตายอย่างช้าๆ เหมือนกับอิจิโกะ
ฉันยกยิ้มก่อนจะรินไวน์ลงในแก้วของเขา เขายกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว และเพียงไม่นานใบหน้าเขาก็ขิ้นสีแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์
“ผมขอตัวไปนอนก่อนนะ” เขาเอ่ยไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินจากไป ฉันพยักหน้ารับรู้และมองดูแผ่นหลังของเขาเดินหายไปจากสายตา
“หึ..” ฉันกระแอมในลำคอก่อนจะกลับมาจดจ้องที่ขวดไวน์สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะ ฉันแอบไปหยิบไวน์ขวดนี้กลับมาจากบาร์เครื่องดื่มตอนที่บริกรไม่อยู่ ไม่มีใครสนใจฉันสักนิด-พวกหน้าโง่เอ๊ย!
ฉันลูบไล้ไวน์ขวดนั้นไปมาพร้อมแสยะยิ้ม ไม่เสียแรงที่สั่งไวน์ขวดนี้มาจากตลาดมืดในฝรั่งเศส พิษเบลลาดอนน่าในไวน์ขวดนั้นทำงานได้อย่างแยบยล ขนาดเซย์กิ เคนดื่มไปเยอะขนาดนั้น เขายังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่านั่นคือยาพิษที่จะค่อยๆ พรากลมหายใจของเขาไปทีละน้อย
ฉันไม่ได้ฆ่าเขานะ เขาต่างหากที่กระดกยาพิษเข้าปากตัวเอง
ฉันปรายตามองนาฬิกาเรือนสวยที่แขวนอยู่บนผนังและยกแก้วไวน์ของตนขึ้นจิบอย่างใจเย็น
อีกไม่นานแล้วสินะที่ตำรวจชั่วนั่นจะได้ชดใช้กรรมที่ตนก่อเอาไว้
อีกไม่นานแล้วสินะที่ดวงวิญญาณของอิจิโกะจะได้รับความเป็นธรรม
.
.
.
มัจจุราชกำลังลากคอตำรวจชั่วลงไปในนรก!
ตอนนี้เหลือเพียงฉันที่นั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยง ฉันสะดุ้งตัวด้วยความตกใจเล็กน้อยยามได้ยินเสียงอึกทึกคึกโครมดังขึ้นที่บริเวณชั้นสอง สงสัยเด็กพวกนั้นคงทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแน่
เอ๊ะ.. หรือยาพิษนั่นจะออกฤทธิ์แล้วกันแน่นะ ฉันปรายตามองนาฬิกาบนผนังอีกครั้งก่อนจะยกยิ้มด้วยความสะใจ เซย์กิ เคน ถึงเวลาที่นายต้องบอกลาโลกใบนี้แล้วล่ะ ฉันเติมไวน์ลงในแก้วของตนอีกครั้งก่อนจะยกขึ้นจิบเพื่อแสดงความยินดีต่อการจากไปของนายตำรวจที่ชื่อว่า เซย์กิ เคน
ลิปสติกของฉันเริ่มหลุดลอกไปเปรอะบนแก้วไวน์ ฉันจิ๊ปากอย่างไม่พอใจนัก แต่ก็พลางนึกได้ว่านี่คงเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ทดลองใช้มีลิปสติกของสุมิเระ ฉันหยิบมันออกมาจากกระเป๋าถือสีขาวสะอาดตาแล้วบรรจงแต่งแต้มลงบนริมฝีปากของตน สีแดงสดช่างดูเหมาะกับฉันไม่น้อยเลยทีเดียว
ถือได้ว่าสุมิเระเป็นคนที่รสนิยมดีอย่างคาดไม่ถึง…
ฉันเก็บลิปสติกเข้ากระเป๋าดังเดิม พร้อมหยิบแก้วไวน์ตรงหน้ามาแกว่งไกวและยกขึ้นดื่มช้าๆ จนหมดแก้ว
เพล้ง!
ฉันปล่อยแก้วไวน์ในมือลงบนพื้น จู่ๆ ฉันก็เริ่มหายใจติดขัด ริมฝีปากที่เคยเป็นสีแดงสดสวยเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นสีม่วงคล้ำ ฉันพยายามยกมือขึ้นปาดมันออกจากปากจนลิปสติกนั้นเริ่มเลอะไปทั่วใบหน้าของฉัน จากที่เคยแสบร้อนที่บริเวณปากมันก็เริ่มลุกลามไปทั่วทั้งใบหน้า
น้ำตาไหลรดบนใบหน้าของฉัน มือของฉันเริ่มอ่อนแรง ลมหายใจก็ค่อยๆ แผ่วลงทีละนิด ฉันเหลือบมองเงานสะท้อนของตนบนเครื่องเงินที่อยู่บนโต๊ะอาหาร ตอนนี้ฉันมีสภาพไม่ต่างอะไรกับผีคาชิมะ เรโกะ ใบหน้าของฉันเริ่มบวมเปล่งและแดงฉานด้วยพิษร้ายจากลิปสติก
ฉันไม่มีแม้แต่แรงจะสะอื้นหรือปาดน้ำตา มันคงจะไม่เศร้าเท่านี้ หากฉันตายด้วยฝีมือของคนอื่นของมครก็ได้ที่ไม่ใช่ อิวาซากิ สุมิเระ ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าคนใกล้ตัวทำร้ายเราอีกแล้ว
เธอทำแบบนี้ไปทำไมนะ ฉันทำอะไรให้เธองั้นเหรอ… สุมิเระจัง
ฉันฟุบหน้าลงไปบนโต๊ะ ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไรฉันก็คิดไม่ออกว่าทำไมสุมิเระถึงทำร้ายฉัน ลมหายใจสุดท้ายมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงลงบนโต๊ะ จากความโกรธปนสงสัยได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความปีติ ถึงเวลาที่ฉันจะต้องไปหาอิจิโกะแล้วสินะ ก็ดีเหมือนกัน ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน
พี่บอกแล้วไงว่าถ้าพี่ประสบความสำเร็จพี่จะกลับไปหาเธอ ทำไมเธอไม่รอพี่ล่ะ อิจิโกะ
งั้นถ้าเธอไม่รอพี่ เดี๋ยวพี่จะไปหาเธอเอง รอหน่อยนะ
พี่กำลังไปแล้ว...
Comments